ทริปนั่งรถไฟความเร็วสูงลาว เที่ยวเวียงจันทน์ วังเวียง หลวงพระบาง 4 วัน 3 คืน
รีวิวทริปนั่งรถไฟความเร็วสูงลาว-จีน (EMU) เที่ยวเวียงจันทน์ วังเวียง หลวงพระบาง 4 วัน 3 คืน
ระหว่างวันที่ 5-8 กรกฎาคม 2565
ສະບາຍດີ...ให้เวลาเดินช้าๆ ที่สปป.ลาว
ทริปนี้ ทีมงาน โอเพ่น สไมล์ ทราเวล แอนด์ เซอร์วิส ได้พาคณะทัวร์จำนวน 8 ท่าน ออกเดินทางสู่ลาวเหนือด้วยรถไฟความเร็วสูงลาว-จีน (EMU) เที่ยวเวียงจันทน์ วังเวียง หลวงพระบาง 4 วัน 3 คืน แบบส่วนตัว
วันที่หนึ่ง
เริ่มต้นวันแรก คณะของเราออกเดินทางจากอุดรธานีสู่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว หรือ ขัวมิดตะพาบแห่งที่ 1 โดยรถตู้ปรับอากาศแบบวีไอพี นั่งสะดวกสบาย พร้อมไกด์หนุ่มหล่อบรรยายไปตลอดเส้นทาง หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว พวกเราเริ่มต้นการเดินทางโดยการไปกราบสักการะย่าแม่สีเมืองที่วัดสีเมือง หรือ วัดหลักเมือง ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั้งสองฝั่งของแม่น้ำโขง ที่นิยมมาขอพรเกี่ยวกับโชคลาภ เงินทอง ค้าขายร่ำรวย จะสังเกตเห็นได้ว่ามีพี่น้องชาวลาวจำนวนมาก แวะเวียนกันมาทำบุญที่วัดนี้ โดยเฉพาะสาวๆ ที่แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองประจำชาติ มองดูมีเสน่ห์และสวยงามยิ่งนัก
จากนั้นคณะของเราก็ไปถ่ายรูป เช็คอิน ที่ประตูชัย หรือ ประตูไซ แลนด์มาร์คแห่งนครเวียงจันทน์ ที่นักท่องเที่ยวต้องไม่พลาดเมื่อมาเยือนถึงที่นี่ เดินถ่ายรูปไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปจนถึงประตูชัย ซึ่งถูกออกแบบมาให้เหมือนกับ ฌ็อง อิลิเซ่ ที่ฝรั่งเศส จากนั้นทางคณะฯ ก็เดินทางต่อไปกราบสักการะพระธาตุหลวง มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า พระเจดีย์โลกะจุฬามณี ปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งของนครเวียงจันทน์
ช่วงบ่ายหลังจากทานอาหารกลางวัน คณะของเราก็มุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อนั่งรถไฟความเร็วสูงลาว-จีน (EMU) สู่นครหลวงพระบาง สถานีรถไฟจะเปิดให้เข้าก่อนเวลา 1 ชั่วโมง เมื่อประตูเปิดให้เข้าแล้ว จะมีการตรวจกระเป๋าและร่างกาย โดยห้ามนำสเปรย์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ของมีคมเข้าไปภายในอาคารอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเจ้าหน้าที่ทางสถานีจะยึดทันที
ภายในอาคารผู้โดยสารมีนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทยและชาวลาวจำนวนมากที่รอขึ้นรถไฟ ตัวอาคารใหญ่โตโอ่อ่าทันสมัยมากๆ มีจอมอนิเตอร์แสดงเลขขบวนรถไฟและเวลาที่ออก เมื่อถึงเวลาเดินทาง เจ้าหน้าที่ทางสถานีก็จะประกาศให้ผู้โดยสารเตรียมตัวเป็นภาษาลาว จีน และอังกฤษ เสียงดังฟังชัด ยืนรอไม่ถึง 10 นาที รถไฟก็มาถึง ตรงเวลามากๆ ภายในขบวนรถไฟ บางตู้ที่นั่งจะหันหน้าชนกัน หมุนเบาะไม่ได้ และมีครึ่งลำที่เบาะหันหลัง ด้านบนมีที่เก็บสัมภาระ พนักงานแต่งตัวสวยงาม เรียบร้อยกันทุกคน
ระหว่างการเดินทาง รถไฟวิ่งฉุยฉิวปลิวลม ไม่โยกเยก วิวระหว่างทางสวยงามมากๆ รถไฟแวะจอดที่สถานีวังเวียงเพียงสถานีเดียว
เพียง 2 ชั่วโมง คณะของเราก็เดินทางมาถึงสถานีหลวงพระบาง ก่อนออกจากสถานีจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วอีกครั้ง ให้เก็บตั๋วไว้ดีๆ อย่าทำหายโดยเด็ดขาด!
หลังจากเช็คอิน เข้าสู่ที่พักโรงแรมระดับ 4 ดาว ที่ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ก็ได้เวลารับประทานอาหารเย็น ณ ร้านอาหารขึ้นชื่อของเมืองหลวงพระบาง จากนั้นคณะของเราก็พากันไปเดินเที่ยวชมตลาดมืด หรือ ถนนคนเดินหลวงพระบาง ที่มีสินค้าพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็นผ้าปัก ผ้าทอมือ ผ้านุ่ง ผ้าซิ่น เครื่องเงิน เครื่องไม้ และสินค้าท้องถิ่นมากมายวางอยู่ริมทางเดินตั้งแต่หน้าพระราชวังจนสุดถนน ได้เวลาอันสมควร ก็เดินทางกลับโรงแรม พักผ่อนตามอัธยาศัย
วันที่สอง
เริ่มต้นการเดินทางของวันที่สอง คณะของเราเดินทางสู่หมู่บ้านช่างไห หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงที่มีการขุดพบหม้อไหโบราณอายุกว่า 2,000 ปี ปัจจุบันเป็นชุมชนผลิตเหล้าพื้นเมืองขาย (เหล้าลาว) จนเป็นที่เลื่องลือในรสชาติ นอกจากนั้นชาวบ้านยังประกอบอาชีพทอผ้ามือด้วยกี่กระตุกแบบดั้งเดิม และทำเครื่องเงินอีกด้วย จากนั้นก็นั่งเรือหางยาว ล่องเรือแม่น้ำโขง ชมทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำโขงสู่ถ้ำติ่ง ซึ่งเป็นถ้ำที่อยู่บนหน้าผาริมแม่น้ำโขงมีสองชั้น คือถ้ำติ่งบนและถ้ำติ่งล่าง ตามซอกมุมจะมีพระพุทธรูปน้อยใหญ่ขนาดต่างๆ กันวางเรียงราย ทั้งที่ทำด้วยไม้และโลหะ และมีเด็กๆ จำนวนมาก มายืนออขายปลาอยู่ตรงทางขึ้นถ้ำ สมาชิกของเราก็อุดหนุนซื้อกันไปคนละถุง สองถุง แล้วนำไปปล่อยลงสู่แม่น้ำโขง
จากนั้นเราก็ล่องเรือกลับเส้นทางเดิม แล้วเปลี่ยนขึ้นรถตู้เดินทางสู่น้ำตกตาดกวางสี ซึ่งเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในเมืองหลวงพระบาง อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 30 กม. น้ำตกมีทั้งหมด 4 ชั้น โดยมีสายน้ำที่ลดหลั่นผ่านชั้นหินปูนลงสู่แอ่งน้ำสีเขียวมรกตสดใส สวยงามมากๆ
ปิดท้ายของวัน คณะของเราที่แต่ละท่านมีอายุเกินครึ่งศตวรรษ ต่างมุ่งมั่นเดินขึ้นสู่พระธาตุพูสี บนยอดเขาที่มีความสูงราว 150 เมตร และมีบันใด 328 ขั้น เพื่อสักการะพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบาง ระหว่างทางเดินร่มรื่นไปด้วยดอกจำปาลาว หรือ ดอกลีลาวดี ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำชาติลาว พอขึ้นไปถึงยอดพูสี เราก็สัมผัสถึงความงามของทัศนียภาพโดยรอบ เห็นสายน้ำโขง และสายน้ำคาน รวมถึงตัวเมืองหลวงพระบางได้อย่างชัดเจน เรียกได้ว่ามาถึงแล้วหายเหนื่อยเลย
วันที่สาม
วันนี้ทุกคนตื่นแต่เช้าเพื่อไปร่วมตักบาตรข้าวเหนียวที่หน้าวัดแสนสุขาราม พร้อมกับชาวหลวงพระบาง ในทุกๆ เช้าพระสงฆ์และสามเณรจากวัดต่างๆ จะออกมาบิณฑบาตเป็นแถวนับร้อยๆ รูป ซึ่งเป็นภาพอันน่าประทับใจ และแสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาของชาวหลวงพระบางได้เป็นอย่างดี โดยการตักบาตรนี้จะรับแต่ข้าวเหนียวเท่านั้น ส่วนกับข้าวไม่ต้องใส่ในบาตร ชาวบ้านจะนำไปถวายที่วัดเอง หลังจากที่ได้อิ่มบุญกันแล้ว เราก็เดินเที่ยวชมตลาดเช้าเมืองหลวงพระบาง ซึ่งเป็นตลาดสดที่จำหน่ายอาหารพื้นเมือง เช่น ไคลแผ่น แจ่วบอง ขนม และผักสด เป็นต้น
หลังอาหารมื้อเช้า เราก็พากันเช็คเอ้าท์เพื่อเดินทางต่อสู่เมืองวังเวียง โดยก่อนออกจากหลวงพระบาง ได้ไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง ซึ่งอดีตเป็นพระราชวังหลวงพระบาง เป็นที่ประทับของเจ้ามหาชีวิตลาว ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ จากนั้นชมหอพระบาง เป็นที่ประดิษฐานพระบาง พระคู่บ้านคู่เมือง ที่ทำจากทองคำ 90% และที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงคือวัดเชียงทอง วัดที่สวยที่สุดในเมืองหลวงพระบาง เป็นสุดยอดอัญมณีศิลปะล้านช้าง และต่อจากนั้นก็เดินทางสู่วัดวิชุน วัดที่มีพระธาตุเจดีย์องค์ใหญ่รูปทรงคล้ายแตงโมผ่าครึ่ง ทำให้ชาวหลวงพระบางเรียกกันว่า พระธาตุหมากโม
เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง เราก็นั่งรถไฟความเร็วสูงลาว-จีน (EMU) เดินทางสู่เมืองวังเวียง หรือที่มีฉายาว่า กุ้ยหลินเมืองลาว ที่โอบล้อมไปด้วยภูเขา แม่น้ำ และธรรมชาติที่สวยงาม เพียงแค่ 1 ชั่วโมง รถไฟก็มาจอดเทียบท่าสถานีวังเวียง เดินออกมาจากตัวอาคารสถานีแล้ว รถตู้ Toyota Commuter คันหรู พร้อมป้ายต้อนรับจอดรอรับอยู่หน้าสถานีพร้อมคนขับคนเดิมที่พาเราเที่ยวในเวียงจันทน์ จากนั้นก็ออกเดินทางสู่บูลลากูน (Blue Lagoon) หนึ่งในสถานที่ยอดฮิตที่ใครมาเที่ยววังเวียงต้องแวะมาเช็คอิน บลูลากูนเป็นเหมือนสระน้ำสีฟ้ามรกต น้ำใสมากๆ มองเห็นเด็กๆ กระโดดน้ำตูมตามอย่างสนุกสนาน จากนั้นคณะของเราก็ไปนั่งเรือล่องแม่น้ำซอง ชมทัศนียภาพสองฝั่งริมแม่น้ำที่มีวิถีชีวิตชาวบ้านที่งดงาม
วันที่สี่
ในที่สุด...วันสุดท้ายของการเดินทางก็มาถึง ก่อนเดินทางออกจากวังเวียง คณะของเราได้แวะเที่ยวถ้ำนางฟ้า แหล่งท่องเที่ยวใหม่ของเมืองวังเวียง ภายในมีหินงอกหินย้อย รูปทรงแตกต่าง สวยงามมากๆ ถ้ำแห่งนี้ได้รับการดูแลและสัมปทานโดยเอกชน ซึ่งเรามีโอกาสได้เจอกับเจ้าของ ชื่อพี่พัน เป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงวัยแค่ 40 ปี ที่ต้องการสร้างงานให้กับคนหนุ่มสาวชาวลาว เมื่อได้เวลา พวกเราออกเดินทางกลับสู่นครหลวงเวียงจันทน์ โดยใช้ทางด่วนสายแรกของประเทศลาว ซึ่งใช้เวลาเดินทางไม่ถึงสองชั่วโมง
อาหารกลางวันวันนี้ เราได้มาทานที่ร้านเฝอแซ่บ ร้านดังของเมืองเวียงจันทน์ ก่อนเดินทางกลับเข้าสู่ประเทศไทย
จบทริปนั่งรถไฟความเร็วสูงลาว-จีน (EMU) เที่ยวเวียงจันทน์ วังเวียง หลวงพระบาง 4 วัน 3 คืน ที่เต็มไปด้วยความสุขและความทรงจำที่ไม่รู้ลืม
สนใจโปรแกรมทัวร์ลาว (อัพเดทล่าสุด) คลิก>>> อัพเดทโปรแกรมทัวร์ลาว